บทกวี ลิลิตตะเลงพ่าย
ตอนที่ ๑ เริ่มบทกวี
ประกอบด้วยร่ายสุภาพ ๑ บท และโคลงสี่สุภาพ ๓ บท กล่าวถึงพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ เป็นการยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่าชนะราชศัตรู พระเกียรติยศ แผ่ไปทั่วแผ่นฟ้าแผ่นดิน กษัตริย์ทุกทิศ ทุกประเทศต่างก็มาสวามิภักดิ์ ถวายบ้านเมือง ของตนมาเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยามั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็น เป็นสุขทั่วหน้า พระเกียรติยศแผ่เลื่องลือเป็นที่สรรเสริญทั่วโลก
ตอนที่ ๒ เหตุการณ์ทางเมืองมอญ
กล่าวถึงพระเจ้ากรุงหงสาวดี กษัตริย์พม่าขณะนั้น ทรงทราบข่าวว่าพระมหาธรรมราชาสวรรคต ทรงคาดว่าพระราชโอรสทั้งคู่ คือ พระนเรศวร และพระเอกาทศรถจะต้องแย่งชิงราชสมบัติกัน เห็นเป็นโอกาสดีที่จะยกกองทัพมาตีไทย จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชา
นําทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา พระมหาอุปราชากราบทูลว่าโหรทํานายว่าพระองค์กำลังมีเคราะห์ถึงฆา พระเจ้านันทบุเรงก็ตรัสประชดว่า ถ้าพระมหาอุปราชาเกรงจะมีเคราะห์ร้าย ก็ให้เอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาสวมจะได้สิ้นเคราะห์ พระมหาอุปราชาได้ฟังคําเยาะเย้ยของพระราชบิดาว่าพระองค์ขลาด ดังสตรีเช่นนั้น ก็ทรงอับอายบรรดาอํามาตย์ข้าราชการทั้งหลาย ทั้งเกรงพระราชอาญา จึงเกิดขัตติยมานะรับอาสายกกองทัพมาตีไทย
พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงประกาศเกณฑ์พลเมืองเชียงใหม่ และเมืองขึ้น ทั้งหลายมารวมกันที่ กรุงหงสาวดี เมื่อกองทัพพร้อมแล้วจะเคลื่อนทัพ ในตอนเช้า คืนนั้นพระมหาอุปราชาเสด็จไปล่ำลา พระสนมจนเวลารุ่งสว่าง แล้วเสด็จเข้าไปกราบทูลลาพระราชบิดา
พระเจ้ากรุงหงสาวดีพระราชทานพรให้ได้ชัยชนะ และพระราชทานพระบรมราโชวาท ๘ ประการ คือ
๑. มองสิ่งใดให้ลึกซึ้ง อย่าหูเบา
๒. อย่าทําอะไรตามใจชอบ โดยไม่คิดถึงใจผู้อื่น
๓. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ
๔. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา
๕. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ
๖. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย
๗. รู้จักปูนบําเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ
๘. มีความเพียรพยายามอย่าได้เกียจคร้าน
ตอนที่ ๓ พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี
พระมหาอุปราชายกกองทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับพม่า ระหว่างที่เดินทัพเข้ามาในเขตแดนไทยนั้น พระมหาอุปราชาก็คร่ำครวญคิดถึงนางอันเป็นที่รักมาโดยตลอดทาง
ฝ่ายเมืองกาญจนบุรีเมื่อได้ทราบข่าวศึก จึงให้อพยพผู้คนไปซุกซ่อนอยู่ในป่าคอยสืบข่าวเหตุการณ์ฝ่ายข้าศึก และทำหนังสือไปกราบทูลให้สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบ
พระมหาอุปราชาให้เคลื่อนกองทัพมาทางลำกระเพิน ให้พระยาจิตตองเป็นแม่กองทำสะพานเรือกไม้ไผ่ข้ามลำน้ำ กองทัพมาถึงเมืองกาญจนบุรีพบแต่เมืองร้าง พระมหาอุปราชาประทับแรมที่เมืองกาญจนบุรี ๑ คืน แล้วเดินทัพมาถึงตําบลพนมทวน เกิดลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก โหรทั้งหลายต่างรู้ว่าเป็นเหตุร้าย แต่ไม่กล้าทูลตามตรง ทูลแต่สิ่งดี ๆ เพื่อกลบเกลื่อนว่า ถ้าเกิดในเวลาเช้าย่อมชั่วร้าย แต่ถ้าเกิดในช่วงเย็นย่อมดี ขอพระองค์อย่าขุ่นเคืองทุกข์ใจไปเลย จะทรงมีลาภปราบศัตรูข้าศึกไทยได้แน่นอน พระมหาอุปราชา
ไม่เชื่อคำทำนาย ทรงนึกหวั่นวิตกว่าจะแพ้กองทัพไทยทรง ครํ่าครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือต่อไป
ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สวรรค์บุรี สุพรรณบุรี ทราบข่าวศึกให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทําหนังสือ
มากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ ๔ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร
ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินด้วย ความเป็นธรรม ราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า พระองค์ปรารภเรื่องจะไปตีกัมพูชา แต่ทรงเป็นห่วงศึกฝ่ายพม่าจะกลับมาทำสงครามอีก จึงโปรดให้พระยาจักรีเป็นผู้ดูแล พระนครระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่ พอดีทูตจากเมืองกาญจนบุรีเข้ามาแจ้งข่าวศึกว่า พม่ากำลังยกกองทัพเข้ามาตีไทย สมเด็จพระนเรศวรทรงดีพระทัยมากที่จะได้ทำศึกกับพม่า จึงได้เล่าเรื่องข่าวศึกให้สมเด็จพระเอกาทศรถทราบทุกประการ
ตอนที่ ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ
สมเด็จพระนเรศวร ให้โหรหาฤกษ์ยามดีเพื่อเคลื่อนพลไปรบ หลวงญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายคำพยากรณ์ทูลว่า พระองค์ได้จตุรงคโชค ให้เสด็จเคลื่อนทัพในวันอาทิตย์ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนยี่ เวลา ๘ นาฬิกา ๓๐ นาที เมื่อได้มงคลฤกษ์จึงเคลื่อนทัพ พระองค์เสด็จทางชลมารคไปขึ้นบกประทับแรมที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง ทรงปรึกษาเหล่าขุนนางเรื่องการศึก จนล่วงเข้ายามสามก็เสด็จเข้าที่บรรทม ครั้นถึงเวลา ๔ นาฬิกา พระองค์ทรงสุบิน เป็นศุภนิมิตว่ามีกระแสน้ำไหลบ่ามาจากทิศตะวันตก พระองค์ได้ลุยน้ำต่อสู้กับจระเข้และได้ฟันจระเข้ตาย ทันใดนั้นกระแสน้ำ ก็เหือดแห้งหายไป โหรทูลทำนายว่าพระสุบินครั้งนี้ เกิดเพราะเทวดาสังหรณ์ให้ทราบเป็นนัยว่าน้ำซึ่งไหลท่วมป่าทางทิศตะวันตกนั้นคือกองทัพพม่า ส่วนจระเข้นั้นคือพระมหาอุปราชา การสงครามนี้้ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดต้องกระทำยุทธหัตถี และพระองค์จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ในระหว่างที่คอยพิชัยฤกษ์อยู่ ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุเปล่ง รังสีโชติช่วงขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ ลอยวนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรต ๓ รอบ แล้วลอยผ่านไปทางทิศเหนือ ทั้งสองพระองค์กราบนมัสการ
พระบรมสารีริกธาตุด้วยความปลาบปลื้มปิติยินดียิ่ง
สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างไชยานุภาพ ส่วนพระเอกาทศรถทรงช้าง พลายปราบไตรจักร เสด็จเคลื่อนขบวนทัพ
❤╄۩۩bang63blogspot۩۩╃❤

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น